วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพียงเล็กน้อยก็สำคัญสำหรับคนจน

 




วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553 เวลา 14:04:52 น.  มติชนออนไลน์

ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพียงเล็กน้อยก็สำคัญสำหรับคนจน

โดย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

ผลวิจัยทีดีอาร์ไอชี้การมีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพียงเล็กน้อยก็ทำให้คนตก หล่มความยากจนได้ แนะรัฐรอบคอบสร้างนโยบายสวัสดิการด้านสุขภาพ จากการวิจัยที่เชื่อถือได้  เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมด้านสุขภาพอย่างแท้จริงช่วยลดความยากจนได้จริง

 

ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง ผู้อำนวยการวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและการเกษตร สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยผลการศึกษาชุดโครงการวิจัย "การใช้ข้อมูลการสำรวจมาวัดผลกระทบของโครงการ 30 บาทฯ และหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่มีต่อภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชนและ การลดความยากจน และการสร้างดัชนีชี้วัดความเป็นธรรมด้านสุขภาพ"  โดยการศึกษานี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย

 

1) การศึกษาผลกระทบของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่มีต่อค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชนและการลดความยากจน

2) ดัชนีชี้วัดความเป็นธรรมด้านสุขภาพ

3) แนวทางและทางเลือกในการสร้างตัวแบบสำหรับการวิเคราะห์ผลประโยชน์ที่ประชาชน ได้รับ (Benefit Incidence Analysis) จากเงินอุดหนุนของภาครัฐในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีผู้ร่วมวิจัยประกอบด้วย รศ.ดร.อัญชนา ณ ระนอง และนายอรรถกฤต เล็กวิไล โดยได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสำนักงานวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักประกัน สุขภาพไทย (สวปก.) ซึ่งอยู่ภายใต้สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)


 การศึกษาผลกระทบของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่มีต่อค่าใช้จ่ายด้าน สุขภาพของประชาชนและการลดความยากจน  ผู้วิจัยได้คิดค้นวิธีสร้างเส้นความยากจนที่ไม่รวมค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพมา เพื่อหาจำนวนคนที่จนเพราะรายจ่ายด้านสุขภาพ และนำมาประกอบกับการวัดช่องว่างความยากจน (normalized poverty gap) ที่เพิ่มขึ้นจากการมีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในปีต่างๆ  ผลการศึกษาพบว่า การพัฒนาโครงการหลักประกันสุขภาพต่าง ๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงการมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (จากโครงการ 30 บาทฯ) สามารถลดภาระรายจ่ายด้านสุขภาพของกลุ่มผู้ยากไร้ที่สุดลงจนแทบจะหมดไปในช่วง สามปีแรกของโครงการ 30 บาทฯ ซึ่งในอดีตกลุ่มคนจน (กลุ่มที่อยู่ใต้เส้นความยากจนตั้งแต่แรก) เคยได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของ ประเทศ แต่หลังจากมีโครงการ 30 บาทฯ ขนาดความรุนแรงของความยากจนเพราะสุขภาพในกลุ่มคนจนก็ลดลงจากประมาณร้อยละ 1 จนแทบจะกลายเป็นศูนย์ในปี 2545 และ 2547


อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้มีข้อสังเกตว่า การปรับเส้นความยากจนให้รวมหรือไม่รวมค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ (ซึ่งมีความแตกต่างเพียงประมาณ 19-33 บาทต่อคนต่อเดือนเท่านั้น) มีผลทำให้จำนวนคนที่จนเพราะรายจ่ายด้านสุขภาพเปลี่ยนแปลงไปถึงร้อยละ 0.25-1.1 ของประชากรทั้งประเทศในปีต่างๆ (หรือประมาณหยาบๆ อยู่ระหว่าง 200,000-600,000 คน) ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีครัวเรือนจำนวนมากที่เสมือนลอยคอปริ่มน้ำอยู่บริเวณ ใกล้ๆ เส้นความยากจน  และมีนัยเชิงนโยบายว่า ถ้ามีการปรับเปลี่ยนนโยบายให้ประชาชนร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาล (copayment) แต่เพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้จำนวนคนที่จนเพราะรายจ่ายด้านสุขภาพเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากได้


เมื่อพิจารณาสัดส่วนของครัวเรือนที่จนเพราะรายจ่ายด้านสุขภาพเทียบ กับคนจนทั้งหมดพบว่ามีสัดส่วนที่ไม่สูงนัก (ประมาณร้อยละ 3-9 ของครัวเรือนที่จน หรือร้อยละ 0.5-2.0 ของครัวเรือนทั้งประเทศ)  และสัดส่วนของครัวเรือนที่จนเพราะรายจ่ายที่เกิดจากการเป็นผู้ป่วยในในโรง พยาบาลก็ยิ่งมีจำนวนน้อยลงไปอีก (ตกประมาณร้อยละ 1 ของครัวเรือนที่จนหรือร้อยละ 0.1-0.2 ของครัวเรือนทั้งประเทศ) แต่ไม่ได้หมายความว่าความเสี่ยงส่วนหลังนี้ไม่สำคัญ เพราะตัวเลขที่ต่ำนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นผู้ป่วย ในในแต่ละปีมีสัดส่วนที่น้อยกว่าผู้ป่วยนอกมาก 

 

แต่ในขณะเดียวกัน การที่คนที่จนเพราะค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นผลจากการเข้านอน โรงพยาบาลบ่งชี้ว่าโครงการที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยนอกยังมีความ สำคัญในด้านการลดความยากจนของคนไทยจำนวนมาก
การศึกษาส่วนที่สอง เรื่อง "ดัชนีชี้วัดความเป็นธรรมด้านสุขภาพ" เป็นการพัฒนาตัวชี้วัดความเป็นธรรมด้านสุขภาพ ซึ่งเรามีเงื่อนไข 2 ประการ คือ ประการแรก ประชาชนแต่ละคนได้รับบริการตามความจำเป็นด้านสุขภาพ โดยไม่ขึ้นอยู่กับฐานะหรือความสามารถในการจ่ายของเขา และประการที่สอง  ประชาชนแต่ละคนร่วมรับภาระค่าใช้จ่ายตามความสามารถในการจ่ายของตัวเอง โดยไม่ขึ้นอยู่กับความจำเป็นด้านสุขภาพของตน  การศึกษานี้ยังได้นำเสนอตัวอย่างดัชนีชี้วัดความเป็นธรรมด้านสุขภาพรวมสี่ กลุ่มคือ ดัชนีที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและความยากจน  ดัชนีที่เกี่ยวข้องกับสภาวะสุขภาพ  ดัชนีที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงบริการสุขภาพ และดัชนีอื่นๆ  ซึ่งดัชนีทุกตัวจะต้องสามารถเชื่อมโยงกับระดับเศรษฐานะได้


การศึกษานี้พยายามให้เกิดการคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking) มากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดการกำหนดนโยบาย ที่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง เนื่องจากมีการใช้หลักการวิเคราะห์ ฐานความคิด หรือทฤษฎีรองรับแบบผิดๆ  ตัวอย่างเช่น การหาจำนวนผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะล้มละลายจากการใช้จ่ายด้านสุขภาพ ที่ใช้หลักว่าถ้าครอบครัวไหนมีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพสูงกว่าร้อยละ 10 ถือว่ามีความเสี่ยงที่จะล้มละลายเพราะค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ  ซึ่งเมื่อใช้ตัวชี้วัดนี้กับกลุ่มผู้มีสิทธิ์ในโครงการ 30 บาทฯ ก็จะได้ข้อสรุปที่ผิดเพี้ยนไปว่ากลุ่มคนรวยมีความเสี่ยงที่จะล้มละลาย มากกว่ากลุ่มคนจน เนื่องจากข้อมูลบ่งชี้ว่าคนรวยมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพสูงกว่าคนจน ซึ่งในความเป็นจริงนั้นเมื่อคนรวยขึ้นก็มักสนใจดูแลสุขภาพมากขึ้น และคนที่มีเงินและสนใจด้านสุขภาพก็มีแนวโน้มจะใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพในสัด ส่วนที่สูงกว่าคนจน    อีกทั้งโดยทั่วไปแล้วครัวเรือนที่อยู่เหนือเส้นความยากจนมากๆ มักจะสามารถรับภาระค่าใช้จ่ายด้านรักษาพยาบาลที่สูงกว่าร้อยละ 10 ของค่าใช้จ่ายรวมได้โดยไม่ลำบากนัก แต่ในทางกลับกันสำหรับครัวเรือนที่อยู่เหนือเส้นความยากจนไม่มากนักนั้น มีครัวเรือนจำนวนมากที่มีโอกาสตกหล่มความยากจนจากการมีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย


ดร.วิโรจน์ กล่าวว่า ความเป็นธรรมด้านสุขภาพที่ปรากฏในปัจจุบัน หากใช้ดัชนีจากงานวิจัย จะพบว่า ในส่วนแรกนั้น การได้รับบริการตามความจำเป็นด้านสุขภาพของคนไทยยังขาดแคลนอย่างยิ่ง เนื่องจากคนไข้มีจำนวนมาก แพทย์และพยาบาลมีน้อย ทำให้ดูแลคนไข้ไม่ทั่วถึง ซึ่งแม้กระทั่งคนรวยก็เจอปัญหานี้เหมือนกัน


การศึกษาส่วนที่ 3 เรื่อง "แนวทางและทางเลือกในการสร้างตัวแบบสำหรับวิเคราะห์ผลประโยชน์ที่ประชาชนได้ รับจากเงินอุดหนุนของภาครัฐในโครงการหลักประกันสุขภาพ" โดยได้นำเสนอตัวแบบที่สามารถนำมาใช้คำนวณผลประโยชน์ที่ประชาชนได้รับจากการ ใช้จ่ายของภาครัฐ ในโครงการหลักประกันสุขภาพ  4 ขั้นตอนคือ การจำแนกประชากรออกเป็นกลุ่ม การแจกแจงการใช้บริการสาธารณสุขของแต่ละกลุ่มประชากร การคำนวณเงินอุดหนุนของภาครัฐต่อหน่วยบริการ และสุดท้ายวิเคราะห์ขนาดและการกระจายเงินอุดหนุนของภาครัฐไปยังประชากรกลุ่ม ต่าง ๆ

ผลการศึกษานี้ มีส่วนทำลายมายาคติที่ว่ารัฐบาลนำภาษีคนรวยมาอุ้มคนจน เพราะความจริงแล้ว ถึงแม้ว่าคนจนจะได้ประโยชน์จากโครงการ 30 บาทฯ มากกว่าคนรวย แต่เมื่อมาคำนวณหาประโยชน์ที่คนฐานะต่างๆ ได้รับจากการใช้จ่ายด้านสุขภาพของภาครัฐในภาพรวม (ซึ่งรวมโครงการสวัสดิการข้าราชการ และโครงการอื่นๆ ที่รัฐจ่ายสมทบด้วย เช่น โครงการประกันสังคม) ก็จะพบว่าในภาพรวมแล้วคนรวยได้รับประโยชน์มากกว่าคนจน 


ดังนั้นสิ่งที่งานวิจัยนี้เสนอคือ การกำหนดนโยบายที่สำคัญด้านสาธารณสุขควรกำหนดขึ้นโดยมีการศึกษาวิจัยที่มี ตัวชี้วัดและวิธีการตีความข้อมูลที่ถูกต้อง เพราะนโยบายมีผลกับประชาชนส่วนมาก หากมีการกำหนดนโยบายหรือการประเมินผลที่เป็นผลมาจากการใช้ตัวชี้วัดหรือการ ตีความข้อมูลที่บกพร่องก็อาจทำให้นโยบายหรือมาตรการที่นำมาใช้ก่อให้เกิดผล กระทบที่ไม่พึงปรารถนาและสร้างความเดือดร้อนกับประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ ได้

                               http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1264662441&grpid=&catid=02

--
โปรดอ่านBlog
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=porpayia&month=12-2009&date=07&group=10&gblog=69
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=auntymod
http://www.bloggang.com/index.php?category=20
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=praewkwun&month=10-12-2009&group=27&gblog=15 นาฬิกา+ปฎิทิน



--
โปรดอ่านBlog
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=porpayia&month=12-2009&date=07&group=10&gblog=69
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=auntymod
http://www.bloggang.com/index.php?category=20
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=praewkwun&month=10-12-2009&group=27&gblog=15 นาฬิกา+ปฎิทิน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น